โทษของกาแฟ

โทษจากกากกาแฟ

สำหรับการดื่มในปริมาณที่มากไปก็เป็นโทษได้เหมือนกัน

1. ดื่มกาแฟตอนเย็น ทำให้นอนไม่หลับ เนื่องจากกาแฟก็มีผลต่อร่างกาย แต่ละคนต่างกัน ถ้ากลัวว่าจะนอนไม่หลับ ให้ดื่มน้อยลง ทว่ากาแฟก็มีผลในการขับปัสสาวะ อาจทำให้ต้องลุกเข้าห้องน้ำกลางดึก รบกวนการนอนได้
2.คุณผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีนในกาแฟ จะส่งผลต่ออวัยวะภายในของทารกที่ยังอ่อนแออยู่
3. เด็กเล็กไม่ควรดื่มกาแฟ โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ขวบ
4.ผู้หญิงที่คลอดบุตรมาแล้ว 100 วัน และอยู่ในช่วงให้นมลูก ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะช่วง 100 วันนี้ ทารกต้องการน้ำนมบริสุทธิ์จากแม่ การดื่มอะไรเข้าไปจะส่งผลต่อทารกได้ จึงต้องระวัง
5.คนเป็นโรคกระเพาะควรงดกาแฟ เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้น การหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะ จะยิ่งเพิ่มกรดในกระเพาะให้อักเสบมากขึ้น
6. คนเป็นโรคหัวใจ ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีน มีบทบาทในการกระตุ้นหัวใจ ทำให้เลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าเป็นคนสูงอายุที่เป็นโรคหัวใจ จะทำให้ประสิทธิภาพหัวใจดีเกินไป และหัวใจเสื่อมเร็ว จึงไม่ควรดื่มอย่างยิ่ง7. เพิ่มอัตราเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนของผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากคาเฟอีนมีผลต่อการยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียม

  ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการดื่มกาแฟวันละ 1-2  ถ้วนต่อวัน จะช่วยให้สมองปลอดโปร่งได้ และการที่ดื่มกาแฟมากขึ้นก็ไม่ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นแต่อย่างใด กาแฟ 1-2 แก้ว หมายถึงแก้วกาแฟปกติขนาด 140 มิลลิลิตร ที่ให้คาเฟอีน ขนาด 50-80 มิลลิกรัมเท่านั้น ไม่ใช่แก้วกาแฟใบใหญ่ๆ อย่างที่หลายคนชอบใช้ กาแฟจะกระตุ้นระบบ ประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น  และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไข้หวัด
ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น
กระตุ้นอวัยวะของร่าง กายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ ดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสม ของกาแฟ เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ 

ชนิดของเมล็ดกาแฟ

ชนิดของเมล็ดกาแฟ
ต้นกาแฟอาราบิก้า – บราซิลกาแฟมีมากกว่า 6,000 พันธุ์ แต่พันธุ์หลักๆ ที่ได้รับความนิยมมี พันธุ์ ได้แก่ อาราบิก้า (Arabica) ซึ่งเป็นกาแฟแบบดั้งเดิม และมีรสชาติดี และ โรบัสต้า (Robusta) ซึ่งมีปริมาณกาเฟอีนสูง และสามารถปลูกในที่ที่ปลูกอาราบิก้าไม่ได้ (คำว่า robust ในภาษาอังกฤษ แปลว่า ทนทาน) ด้วยความที่มีความทนทานมากกว่านี้เอง จึงทำให้กาแพโรบัสต้ามีราคาถูกกว่า แต่ผู้คนนิยมดื่มไม่มากนักเนื่องจากมีรสขมและเปรี้ยว ส่วนโรบัสต้าที่มีคุณภาพดีมักถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมของเอสเพรสโซ่ แบบผสม (เอสเพรสโซ่มีสองแบบใหญ่ๆ คือแบบที่เป็นอาราบิก้าแท้ๆ กับแบบที่ผสมกาแฟชนิดอื่นๆ)

ชนิดของกาแฟ

ชนิดของกาแฟ

กาแฟดำ
         ชงด้วยวิธีการหยดน้ำ อาจเป็นแบบให้น้ำซึมหรือแบบเฟรนช์เพรส เสิร์ฟโดยไม่ใส่นม อาจเติมน้ำตาลได้ ผู้คนมักเข้าใจผิดว่ากาแฟดำกับเอสเพรสโซเป็นอย่างเดียวกัน แต่ที่จริงแล้วกาแฟทั้งสองชนิดมีข้อแตกต่างกันหลายข้อ ข้อที่สำคัญคือ ถ้วยเสิร์ฟของเอสเพรสโซมีขนาดเล็กกว่า เพราะนิยมดื่มให้หมดในอึกเดียว ปกติแล้วเอสเพรสโซจะไม่ใส่น้ำตาลหรือนม และคนไม่นิยม เอสเพรสโซที่ชงถูกวิธีจะต้องมีฟองสีทองลอยอยู่ด้านบน รสชาติของเอสเพรสโซจะติดปากหลังจากดื่มนานกว่า (15-30 นาที) 

เอสเพรสโซ (espresso)
คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม ซึ่งมีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเพรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี “espresso” แปลว่า เร่งด่วน เอสเพรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลีและฝรั่งเศส การสั่งกาแฟ “caffe” ในร้านโดยทั่วไปก็คือสั่งเอสเพรสโซ ด้วยวิธีการชงแบบใช้แรงอัด ทำให้เอสเพรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเพรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป(ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่ม ของแต่ละประเทศ)

คาปูชิโน (cappuccino)
เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทกาแฟซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี คาปูชิโนมีส่วนประกอบหลักคือ เอสเพรสโซ และ นม การชงคาปูชิโนโดยส่วนใหญ่มักมีอัตราส่วนของเอสเพรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกับนมสตีม (นมร้อนผ่านไอน้ำ) 1/3 ส่วน และนมตีเป็นโฟมละเอียด 1/3 ส่วนลอยอยู่ด้านบน นอกจากนั้นอาจโรยหน้าด้วยผงซินนามอน หรือ ผงโกโก้เล็กน้อยตามความชอบ ส่วนผสมของคาปูชิโนต่างจากของลาเต้ มาเกียโต้ (latte macchiato) ซึ่งประกอบไปด้วยนมเป็นส่วนใหญ่และนมตีโฟมเพียงเล็กน้อย ในประเทศอิตาลี ผู้คนมักดื่มคาปูชิโนเป็นอาหารเช้าโดยเฉพาะ โดยอาจมีขนมปังแผ่นหรือคุกกี้ประกอบ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าวิถีชีวิตของชาวอิตาลีมักไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้าแบบเป็นกิจลักษณะ คาปูชิโนและขนมปังเบาๆ จึงเหมาะเป็นอาหารรองท้องสำหรับยามเช้า และด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ดื่มคาปูชิโนในช่วงอื่นของวัน แต่สำหรับต่างประเทศรวมถึงประเทศไทย การดื่มคาปูชิโน ดื่มได้ทุกเวลาโดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก

ลาเต้ (ภาษาอิตาลี: Latte)
เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ส่วนในประเทศอื่น จะหมายถึง กาแฟลาเต้ หรือเครื่องดื่มกาแฟที่เตรียมด้วยนมร้อน โดยการเทเอสเพรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อนอีก 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อมๆ กัน และจะหยอดโฟมนมหนาประมาณ ซม. ทับข้างบน ในประเทศอิตาลี กาแฟลาเต้นี้รู้จักกันในชื่อของ “caffe e latte” ซึ่งหมายถึง กาแฟกับนม ซึ่งใกล้เคียงกับในภาษาฝรั่งเศส คำว่า “cafe au lait” กาแฟลาเต้เริ่มเป็นที่นิยมนอกประเทศอิตาลีในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ในการชงกาแฟลาเต้ บาริสต้า (หรือผู้ชงกาแฟที่ชำนาญงาน) จะใช้วิธีขยับข้อมือเล็กน้อยขณะที่รินนมและโฟมนมลงบนกาแฟ ทำให้เกิดลวดลายต่าง ๆ เรียกว่า ลาเต้อาร์ต (latte art) หรือศิลปะฟองนมในถ้วยกาแฟ 

มอคค่า (Mocha)
ในนี้หมายถึงกาแฟมอคค่า เป็นกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่าในประเทศเยเมน กาแฟมอคค่ามีสีและกลิ่นคล้ายชอคโกแลต (แม้ว่าจะไม่มีส่วนประกอบของชอคโกแลตในมอคค่าเลยก็ตาม) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กาแฟมอคค่าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ มอคค่า ยังหมายถึงเครื่องดื่มกาแฟซึ่งมี เอสเพรสโซ่ และ โกโก้ เป็นส่วนประกอบ เสิร์ฟทั้งแบบร้อนและแบบเย็นใส่น้ำแข็ง 


อเมริกาโน หรือ คาเฟ่ อเมริกาโน (cafe americano)
คือเครื่องดื่มกาแฟชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการชงโดยเติมน้ำร้อนผสมลงไปในเอสเพรสโซ. การเจือจางเอสเพรสโซซึ่งเป็นกาแฟเข้มข้นด้วยน้ำร้อน ทำให้อเมริกาโนมีความแก่พอ ๆ กับกาแฟธรรมดา แต่มีกลิ่นและรสชาติที่เข้มอันมาจากเอสเพรสโซ อเมริกาโนเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟดำ แต่ไม่แก่และหนักถึงขั้นเอสเพรสโซ คอกาแฟส่วนใหญ่นิยมดื่มอเมริกาโนโดยไม่ปรุงด้วยนมหรือน้ำตาล เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟของอเมริกาโนซึ่งแตกต่างจากกาแฟธรรมดา สำหรับที่มาของชื่ออเมริกาโนซึ่งหมายถึงสหรัฐอเมริกานั้น ว่ากันว่าเอสเพรสโซเพียว ๆ นั้น เข้มข้นเกินไปสำหรับคอกาแฟชาวอเมริกา จึงมีการเสิร์ฟกาแฟเอสเพรสโซซึ่งทำให้เจือจางด้วยน้ำร้อน. แม้ที่มาของชื่อจะหมายถึงกาแฟสไตล์อเมริกา แต่อเมริกาโนก็มิได้เป็นกาแฟที่ชาวอเมริกานิยมดื่ม จนกระทั่งยุครุ่งเรืองของร้านกาแฟแฟรนไชส์ สตาร์บัคส์ ในปี พ.ศ. 2533 แต่ถึงกระนั้นอเมริกาโนก็ไม่จัดเป็นกาแฟที่ได้รับความนิยมมากนัก

กาแฟขาว (white coffee)
เป็นชาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ค้นพบที่เมืองเบรุต นิยมดื่มกันมากในประเทศเลบานอนและซีเรีย และนิยมทานคู่กับ ขนมหวาน ในประเทศทางยุโรปบางประเทศ จะกล่าวถึง ไวต์คอฟฟี (white coffee) ในลักษณะของกาแฟใส่นม ในขณะเดียวกันไวต์คอฟฟีในสหรัฐอเมริกาจะหมายถึง กาแฟที่กลั่นไว้นานจนมีสีคล้ายกับสีเหลือง 

การผลิตเม็ดกาแฟ

การบ่ม ในการผลิตกาแฟ วิธีที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีนักวิธีหนึ่งได้แก่การบ่ม (Aging) กาแฟหลายๆ ประเภทจะมีคุณภาพดีขึ้นเมื่อผ่านการบ่ม รสเปรี้ยวของมันจะลดลง ในขณะที่ความกลมกลืนของรสชาติโดยรวมก็จะเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตหลายๆ รายมักจะขายเมล็ดกาแฟออกไปหลังจากได้บ่มเอาไว้แล้วถึง ปี และร้านที่ขึ้นชื่อเป็นพิเศษบางร้าน (เช่น “Toko Aroma” ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย) ถึงกับบ่มเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่วไว้ถึง ปีทีเดียว 

             การคั่ว กระบวนการคั่วเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ในการที่จะได้กาแฟรสชาติดีสักถ้วยหนึ่ง. เมื่อถูกคั่ว เมล็ดกาแฟสีเขียวก็จะพองออกจนเกือบจะมีขนาดเป็นสองเท่าของของเดิม พร้อมทั้งเปลี่ยนสีและความหนาแน่นไป เมื่อเมล็ดได้รับความร้อน มันจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและในที่สุดก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ แบบสีของผลอบเชย (cinnamon) และมันก็จะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะถูกยกออกจากความร้อน พร้อมกันนี้ เราก็จะเห็นน้ำมันออกมาตามผิวของเมล็ด ในการคั่วแบบอ่อนๆ กาแฟจะเก็บรสชาติดั้งเดิมไว้ได้ดีกว่า รสชาติดั้งเดิมนี้จะขึ้นอยู่กับดินและสภาพอากาศในที่ที่ต้นกาแฟได้เติบโตขึ้นมา. 

             การบด ความละเอียดของกากที่ได้จากการบดมีผลอย่างมากต่อรสชาติ ยิ่งบดกาแฟละเอียดเท่าไร ก็จะยิ่งได้รสชาติที่เข้มข้นและครบบริบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น เหตุผลหลักที่บางคนไม่บดละเอียดมากนัก คือเพื่อไม่ให้กากสามารถผ่านตัวกรองชนิดหยาบๆ ออกไปได้ (เช่น cafetiere) การผลิตกากกาแฟพร้อมชงมีสามวิธีด้วยกัน

            การโม่: กดเมล็ดโดยใช้อุปกรณ์หมุนสองตัว ใช้การหมุนเพื่อให้เมล็ดแตก วิธีนี้มีความเสี่ยงน้อยที่เมล็ดจะไหม้ เครื่องบดอาจมีลักษณะเป็นแบบล้อหรือแบบกรวย โดยที่แบบกรวยจะทำงานได้เงียบกว่าและมีโอกาสเกิดการอุดตันน้อยกว่า
Grinder แบบกรวยช่วยรักษากลิ่นส่วนใหญ่ไว้ได้ และสามารถบดได้ละเอียดมาก อีกทั้งกากที่ได้ก็จะมีความละเอียดสม่ำเสมอกันอีกด้วย โม่ที่ทำจากเหล็กซึ่งมีการออกแบบที่ยุ่งยากซับซ้อน อาจทำให้ลดประสิทธิภาพของเฟืองลง ส่งผลให้การบดทำได้ช้าลง ยิ่งการบดช้าลงเท่าไร ก็ยิ่งมีความร้อนเข้าไปในกากกาแฟน้อยลงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงสามารถรักษากลิ่นไว้ได้อย่างดี เนื่องจากสามารถปรับความละเอียดได้หลายระดับมา การบดวิธีนี้จึงเหมาะกับกาแฟทุกประเภท ทั้งแบบที่ทำด้วยเครื่องชงเอสเพรสโซ (Espresso) แบบหยด (Drip) แบบใช้เครื่องต้มให้น้ำซึมเข้า (Percolator) และแบบเฟรนช์เพรส (French Press) เครื่องโม่แบบกรวยที่คุณภาพดียังสามารถบดให้ละเอียดเป็นพิเศษสำหรับใช้ในการทำกาแฟแบบตุรกี ความเร็วในการบดโดยทั่วไปไม่เกิน 500 รอบต่อนาที
เครื่องโม่ประเภทจานหมุน สามารถบดได้รวดเร็วกว่าแบบกรวย (10,000 ถึง 20,000 รอบต่อนาที) และจะส่งผลให้มีความร้อนเข้าไปในกาแฟเล็กน้อย เครื่องแบบนี้เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดในการผลิตกากละเอียดสม่ำเสมอ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายแบบ กากแบบนี้เหมาะสมมากกับเครื่องชงเอสเพรสโซ่แบบปัมป์ตามบ้าน อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถบดให้ละเอียดได้เท่ากับเครื่องแบบกรวย

          การสับ: ‘เครื่องบดสมัยใหม่มักใช้วิธีการหั่นเมล็ดกาแฟออกเป็นชิ้นๆ ถึงแม้จะให้ผลเหมือนกับการบดดีๆ โดยทั่วไป คนที่พิถีพิถันมักตำหนิว่าวิธีนี้ให้กาแฟคุณภาพสู้วิธีแบบเก่าไม่ได้ เครื่องบดแบบใบมีด ปั่น” เมล็ดให้ละเอียดโดยใช้ใบมีดหมุนด้วยความเร็วสูง (20,000 ถึง 30,000 รอบต่อนาที) กากกาแฟที่ได้จะไม่ละเอียดสม่ำเสมอ และจะได้รับความร้อนมากกว่าการใช้เครื่องโม่ เครื่องบดใบมีดจะก่อให้เกิดฝุ่นกาแฟ”

ซึ่งอาจทำให้ตะแกรงร่อนของเครื่องชงเอสเพรสโซและเครื่องชงเฟรนช์เพรสเกิดการอุดตันได้ ดังนั้นเครื่องบดแบบนี้ จึงเหมาะสมกับเฉพาะเครื่องชงแบบหยด และมันยังสามารถใช้บดเครื่องเทศและสมุนไพรได้เป็นอย่างดี เครื่องชนิดนี้ไม่ควรใช้กับเครื่องชงเอสเพรสโซแบบปัมป์

          การบดเป็นผง: กาแฟตุรกีหรือ(เตอร์กิส คอฟฟี่)เป็นการต้มทั้งกากที่ได้จากการบด โดยวิธีการดื่มจะเทดื่มเลยและต่อมาจึงเริ่มมีการกรองดื่มเฉพาะน้ำ วิธีการนี้ให้กากซึ่งละเอียดเกินไปและเหมาะสำหรับการชงแบบนี้เท่านั้น

การชงกาแฟ

การชงกาแฟ

          การชงกาแฟมีหลากหลายวิธี ซึ่งสามารถแบ่งเป็นประเภทตามการให้น้ำกับกากกาแฟ ได้สี่ประเภทหลักๆ ดังนี้ 

          การต้มเดือด: กาแฟตุรกี วิธีการดั้งเดิมในการชงกาแฟ ซึ่งยังคงใช้อยู่ในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ตุรกี และกรีซ ได้แก่การต้มผงกาแฟละเอียดเข้ากับน้ำในหม้อคอคอด ซึ่งเรียกว่าไอบริก (ibrik) ในภาษาอารบิกเซสฟ์ (cezve) ในภาษาตุรกีและเซสวา (dzezva) ในภาษาเซอร์โบ-โครเอเชียน และปล่อยให้เดือดเล็กน้อย บางครั้งก็จะเติมน้ำตาลเข้าไปในหม้อด้วยเพื่อเพิ่มรสหวาน และยังเพิ่มรสและกลิ่นด้วยกระวาน (cardamom) ผลที่ได้คือกาแฟเข้มข้นถ้วยเล็กๆ มีฟองอยู่ข้างบน และกากกาแฟกองหนาเหมือนโคลนอยู่ที่ก้น 

          การใช้ความดัน: เอสเพรสโซ ถูกชงด้วยน้ำเดือดอ้ดความดัน และมักเป็นพื้นฐานนำไปผสมกาแฟหลายๆ ชนิด หรือไม่ก็เสิร์ฟเปล่าๆ ก็ได้ (มักจะเป็นหลังจากมื้อค่ำ) กาแฟชนิดนี้เป็นหนึ่งในประเภทที่แรงที่สุดที่ดื่มกันโดยทั่วไป และมีรสชาติและความมัน(crema)ที่เป็นเอกลักษณ์ เครื่องชงกาแฟแบบใช้น้ำร้อนซึม (หรือหม้อม็อคค่า) มีลักษณะแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยส่วนล่างใช้สำหรับต้มน้ำ เพื่อให้ไอลอยขึ้นไปยังกากกาแฟซึ่งอยู่ในส่วนตรงกลาง น้ำกาแฟที่ได้ ซึ่งมักมีความเข้มข้นระดับเดียวกับเอสเพรสโซ จะถูกเก็บอยู่ในส่วนบนสุด ส่วนที่มักวางติดกับเครื่องอุ่นหรือเตา เครื่องบางแบบยังอาจมีฝา แก้วหรือพลาสติกใสเพื่อเอาไว้ดูกาแฟตอนที่มันลอยขึ้นข้างบน 

การใช้แรงโน้มถ่วง: การชงแบบหยด (หรือแบบกรอง) เป็นการหยดน้ำร้อนผ่านกากกาแฟที่วางอยู่ในที่กรอง (อาจเป็นกระดาษหรือโลหะเจาะรู) ความเข้มขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างน้ำกับกาแฟ แต่โดยปกติแล้วจะไม่เข้มข้นเท่าเอสเพรสโซ เครื่องชงกาแฟแบบใช้น้ำร้อนซึมประเภทที่สอง ก็เป็นแบบที่ใช้แรงโน้มถ่วงดึงให้น้ำไหลผ่านกากกาแฟ แต่ให้ความเข้มมากกว่า 

          การจุ่ม: เฟรนช์เพรส (หรือ cafetiere) เป็นกระบอกแก้วที่สูงและแคบ ประกอบด้วยลูกสูบที่มีตัวกรอง กาแฟและน้ำร้อนจะถูกผสมกันในกระบอก (ประมาณ2-3นาที) ก่อนที่ตัวลูกสูบ ซึ่งอยู่ในรูปฟอยล์โลหะ จะถูกกดลง เพื่อให้เหลือแต่น้ำกาแฟอยู่ข้างบนพร้อมเสิร์ฟ ถุงกาแฟ (ลักษณะเดียวกับถุงชา) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมน้อยกว่าการใช้ถุงชงชามาก เนื่องจากมันมีขนาดใหญ่กว่ามาก (ปริมาณกาแฟที่ต้องใส่เข้าไปในถุงมากกว่าปริมาณชามาก) กาแฟทุกแบบที่ได้กล่าวมานี้ต่างใช้กากกาแฟชงกับน้ำร้อน กาแฟอาจถูกปล่อยค้างอยู่หรือไม่ก็ถูกกรองออกไป แต่ละวิธีต่างต้องการความละเอียดของการบดแตกต่างกันไป เครื่องทำกาแฟแบบไฟฟ้าสามารถต้มน้ำและชงผงที่ละลายได้ โดยไม่ต้องพึ่งคนมากนัก และบางประเภทก็มีตัวตั้งเวลาด้วย พวกที่ดื่มกาแฟอย่างจริงจังมักจะรังเกียจวิธีการที่สะดวกสบายแบบนี้ ซึ่งมักจะทำให้สูญเสียรสชาติและกลิ่นที่ดีไป คนกลุ่มนี้มักจะโปรดปรานกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ๆ และวิธีการชงแบบดั้งเดิมมากกว่า

ที่มาและความสำคัญ

ที่มาและความสำคัญ

                  ในปัจจุบันการเปิดร้านเบเกอร์รี่  ร้านกาแฟสด  กาแฟโบราณ  มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  เนื่องจากเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ที่ดื่มกาแฟ  ในสมัยก่อนกลุ่มผู้ที่ดื่มกาแฟส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงวัย  อีกทั้งร้านเบเกอร์รี่  ร้านกาแฟสด  กาแฟโบราณ  ยังเป็นจุดพบปะนัดแนะกันของผู้คน   แต่ปัจจุบันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อการดื่มกาแฟเข้ามามีบทบาทกับกลุ่มคนวัยทำงาน  ที่ต้องตื่นตัวและทนต่อการทำงานเพราะในกาแฟมีคาเฟอีน  หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสมจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจในหลายๆด้าน  

                 เมื่อมีการดื่มกาแฟเพิ่มมากขึ้น  ร้านกาแฟก็จะเพิ่มขึ้น  กาแฟที่จะนำมาชงจะต้องผ่านกรรมวิธีการคั่วและบดเค้นเอาเฉพาะส่วนของน้ำกาแฟ  จะมีลักษณะเป็นน้ำสีดำ รสชาติขม  มีกลิ่นหอม  และสิ่งที่เหลือคือกากกาแฟ  ในบางร้านจะมีปริมาณกากกาแฟจำนวนมาก เจ้าของร้านกาแฟจะทิ้งกากกาแฟวันต่อวัน  จากการสอบถามเพิ่มเติมจากเจ้าของร้าน  ว่า “มีวิธีจัดการกับกากกาแฟจำนวนมากแบบนี้ยังไงในแต่ละวัน”  เจ้าของร้านต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า  “เอาไปทิ้งบ้าง หรือไม่ก็มีคนมารับซื้อ”

                     การนำกากกาแฟที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกที่เจ้าของร้านทิ้ง  สิ่งที่คนอื่นมองข้าม  นำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่างๆได้อีกมากมาย  อาทิ  การนำกากกาแฟไปทำเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้  เนื่องจากมาธาตุไนโตรเจนสูง  ไนโตรเจนยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของ ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอ และโปรตีน  ซึ่งพืชจะต้องใช้ในการเจริญเติบโต  กากกาแฟยังมีโพเทสเซียม  ฟอสฟอรัส สารคาเฟอีนในกากกาแฟมีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งสามารถนำมาบำรุงต้นไม้ดอกไม้ที่ชอบดินเป็นกรดมากกว่าเป็นด่าง  โรยกากกาแฟสดให้ทั่วโคนต้น หรือจะนำมาคลุกเคล้ากับดินที่ปลูกต้นไม้  เพื่อปรับค่าสมดุลให้ดินมีค่าเป็นกรดมากขึ้นก็ได้
                     ใช้กากกาแฟกับเปลือกไข่โรยเป็นแนวรอบต้นไม้ไล่แมลงศัตรูพืชใช้ในการดับเตาถ่าน, นำมาย้อมสีกำจัดกลิ่นในรองเท้าและตู้เย็น ใช้กับสัตว์เลี้ยง,  ใช้สำหรับขัดผิว,  ช่วยให้ผมเงางาม,  บรรเทาอาการอ่อนล้าที่ดวงตา, ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น  นำไปทำงานศิลปะ
                ดังข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นว่า  กากกาแฟมีประโยชน์หลายอย่างทั้งยังมีปริมาณมากเนื่องจากมีร้านกาแฟเพิ่มมากขึ้น หาซื้อได้ง่ายและยังมีต้นทุนที่ต่ำ  นำเอาสิ่งที่คนมองข้ามกลับมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด  คณะผู้จัดทำจึงมีความสนใจในประโยชน์ของกากกาแฟและต้องการเผยแพร่องค์ความรู้ของกากกาแฟให้กับผู้อื่น

 

งานวิจัยเกี่ยวกับกาแฟ

 

 

โรบัสตามีปริมาณกาเฟอีนมากกว่าอาราบิกา กาแฟสำเร็จรูปมีกาเฟอีนประมาณ 60 มิลลิกรัม การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพและสรีรวิทยาพบว่าการบริโภคกาเฟอีน 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ความนิยมของกาแฟทั่วโลกส่งผลต่องานวิจัยเชิงสุขภาพมากมาย ในความเป็นจริงกาแฟเป็นสินค้าที่มีการวิจัยมากที่สุด การศึกษาบ้างชิ้นอ้างถึงผลกระทบเชิงลบเป็นตัวอย่างเล็กๆที่ไม่มีการควบคุมปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบ อย่างไรก็ตาม การศึกษาส่วนใหญ่ยืนยันว่าการดื่มกาแฟในปริมาณพอเหมาะมีความปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 55)

ภาวะเสพติด

คนมักพูดว่า “เขาเสพติดบางอย่าง” ในความเป็นจริงคำอธิบายที่ถูกต้องคือ “เขาทำจนเป็นนิสัย” ในสังคมปัจจุบัน คำว่า “นิสัย” และ “การเสพติด” มักใช้ผิด สิ่งนี้ชัดเจนในกรณีของกาแฟ ความคิดเห็นทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่ากาเฟอีนไม่ได้มีผลต่อการทำงานของสมมอง หรือเกี่ยวข้องกับภาวะเสพติดและการตอบสนองเหมือนยาเสพติด

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ากาเฟอีนมีผลกระทบต่อสังคมและร่างกายเหมือนการใช้ยาเสพติดร้ายแรง (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 57)

สารต้านอนุมูลอิสระ

การวิจัยนำเสนอว่า กาแฟมีระดับสารต้านอนุมูลอิสระมากถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับชา การศึกษาแสดงให้เห็นว่ากาแฟส่งเสริมโภชนาการเหมือนกับการรับสารต้านอนุมูลอิสระจากแหล่งอื่นๆ

กาเฟอีนในกาแฟเป็นสารที่ช่วยขยายหลอดลม ทำให้ทางเดินอากาศกว้าง และหายใจสะดวกขึ้น นอกจากนี้กาเฟอีนยังมีประสิทธิภาพในการเพิ่มสมรรถนะทางร่างกายและความคิด กาแฟช่วยให้สามารถทำงานได้ยาวนานขึ้นก่อนที่พลังงานในร่างกายจะหมดไป

กาแฟช่วยต่อสู้กับความเหนื่อยล้า

1. นักวิจัยพบว่า กาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นอารมณ์ที่ช่วยเร่งความคิด

2. กาเฟอีนเพิ่มสมรรถนะทางปัญญา

3. กาเฟอีนกระตุ้นปฏิกิริยาตอบสนอง ระยะเวลาความสนใจ สมาธิ และความหลักแหลม

4. กาเฟอีนเคลื่อนย้ายไปยังสมองรวดเร็วภายใน 20 – 30 นาที และใช้เวลายาวนาน 6 ชั่วโมง

5. กาเฟอีนยกระดับและปรับปรุงอารมณ์

การดื่มกาแฟลดความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีของผู้ชาย

ผู้ชายที่ดื่มกาแฟ 4 ถ้วย หรือมากกว่าต่อวัน มีแนวโน้มลดความเสี่ยงร้อยละ 45 ของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี การวิจัยทางโภชนาการสันนิษฐานว่ากาแฟช่วยลดความเสี่ยงของนิ่วในถุงน้ำดี และผลกระทบเชิงบำบัดและส่วนผสมเฉพาะที่มีอิทธิพลต่อโรค

กาแฟป้องกันโรคตับแข็ง

การดื่มกาแฟ 3-4 ถ้วยต่อวัน ช่วยลดอัตราความเสี่ยงของการเป็นโรคตับแข็งร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟ

กาแฟมีแนวโน้มลดความเสี่ยงของมะเร็งทางเดินย่อยอาหาร

ผู้ที่ดื่มกาแฟ 4 ถ้วย หรือมากกว่าต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ร้อยละ 24 เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟ

ลดการบริโภคกาเฟอีน

ถ้าต้องการเลิกบริโภคกาเฟอีน ควรค่อยๆลดลงดีกว่างดทันที และมีทางเลือกอื่นๆมากกว่ากาแฟ ไร้กาเฟอีน หนึ่งในนั้นคือ การดื่มกาแฟน้อยลง เป็นวิธีที่ดีสำหรับคนที่ดื่มกาแฟมากเกินจนเป็นนิสัย (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 57-58)

ประโยชน์ของกาแฟ

สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟ

การศึกษาใน พ.ศ. 2547 เกี่ยวกับแหล่งโภชนาการของสารต้านอนุมูลอิสระ พบว่าผู้สนับสนุนใหญ่ที่สุดของสารต้านอนุมูลอิสระ คือ กาแฟ

สารต้านอนุมูลอิสระช่วยบรรเทาโอกาสการเกิดของโรคหัวใจและโรคมะเร็ง องค์กรกาแฟระหว่างประเทศตระหนักดีว่า ผลกระทบจากการศึกษาอื่นๆ ปรากฏชัดเจนว่า กาแฟบรรจุสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาถึง 4 เท่า

การดื่มกาแฟมีประโยชน์อย่างไร

สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟช่วยปกป้องคุณจากอนุมูลอิสระที่เป็นพิษ ซึ่งมาจากการหายใจของออกซิเจน และการกินน้ำตาลที่บ่มเพาะเรื้อรังและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยขจัดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก นอกจากนี้การดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะยังสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ กระตุ้นอารมณ์ ป้องกันฟันผุ รวมทั้งความเสียหายจากการสูบบุหรี่และการรับแอลกอฮอล์ในปริมาณสูง

การดื่มกาแฟในปริมาณมากเกินไปไม่ดีสำหรับคุณ

การดื่มหรือได้รับกาเฟอีนในปริมาณมากเกินไปจะไปเร่งการเสื่อมสภาพของกระดูกในหญิงตั้งครรภ์ ส่งผลต่อน้ำหนักแรกเกิดของทารก และเพิ่มความเสี่ยงของการแท้งบุตรโดยธรรมชาติ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรทอต้องการมีบุตรได้รับคำแนะนำให้จำกัดการดื่มกาแฟไม่เกิน 2 ถ้วยต่อวัน

กาเฟอีนเป็นตัวเร่งทำให้เกิดอาการเสียดท้อง หัวใจเต้นเร็ว และกระวนกระวายใจ (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 63)

ประโยชน์ของกากกาแฟ

1. กากกาแฟที่ใช้แล้วนำไปตากแดดให้แห้งและบรรจุใส่ถุงผ้าเล็กๆนำไปไว้ในตู้เย็นเพื่อช่วยดูดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์หรือจะนำกากกาแฟใส่ไว้ในถ้วยและวางไว้ในตู้เย็นก็ได้ เพราะกากกาแฟมีสรรพคุณในการดูดกลิ่นได้ดีและถ้าอยากให้มีกลิ่นหอมเพิ่มขึ้นก็ให้เอากลิ่นที่ชอบ เช่น กลิ่นส้ม กลิ่นวานิลลาหรือกลิ่นดอกไม้ หยดลงไปในกากกาแฟสักสามสี่หยดจะเพิ่มความหอมให้กับตู้เย็น

2. นำกาแฟที่ตากแห้งและเก็บไว้มาผสมน้ำและนำไปหมักผมจะช่วยให้ผมนุ่มและเงางาม ถ้านำไปขัดหน้าหรือขัดตัวก็จะทำให้ผิวนุ่มสดใส เป็นการทำสปาให้กับตัวเองและไม่จำเป็นต้องฟอกสบู่ซ้ำหรือสระผมซ้ำเลยที่สำคัญอย่าลืมล้างออกให้สระอาด

3. กากกาแฟยังสามารถใช้เป็นปุ๋ยได้อย่างดีกับต้นไม้ดอกไม้และไม้ประดับ ต้นไม้ที่ปลูกด้วยดินที่มีส่วนผสมของกากกาแฟจะช่วยป้องกันไม่ให้พวกหอยทากหรือตัวบุ้งมากันกินใบ

4. ตามพื้นดินที่มีมดเดินไปมาหรือทำรังอยู่ ลองเอากากกาแฟโรยตามบริเวณที่มดอาศัยอยู่ มดก็จะค่อยๆหายไปเพราะกากกาแฟมีคุณสมบัติเป็นตัวไล่มดด้วย

5. สำหรับท่านที่ทำครัวและมีกลิ่นอาหารติดมือ ลองใช้กากกาแฟผสมน้ำให้พอเปียกและนำมาถูกับมือสักพักแล้วล้างออกกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็จะหายไปเหลือแต่กลิ่นที่หอมสดชื่นของกาแฟที่ติดอยู่ที่มือแทน (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 73)

ข้อดีของกาแฟ

1. สารต้านอนุมูลอิสระ กาแฟอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น กรดคลอโรจีนิก เมลาโนไอดีนส์ ที่ป้องกันกระบวนการก่อให้เกิดความเสียหายแก่เซลล์และความชรา เป็นต้น

2. โรคพาร์กินสัน หรือการสูญเสียเซลล์สมอง เป็นโรคประสาทที่ลุกลามและจะแสดงอาการเฉพาะ คือ การสั่นเทาของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวช้าลง อ่อนแอ อัมพาตที่ใบหน้า หากดื่ม กาแฟปริมาณที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงการเกิดโคพาร์กินสันได้

3. เบาหวาน นักวิจัยค้นพบว่าการดื่มกาแฟลดความเสี่ยงของพัฒนาการเบาหวาน ผู้ที่ดื่มกาแฟมากกว่า 6 ถ้วยต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานได้

4. นิ่วในถุงน้ำดี กาแฟมีผลต่อการสันดาปและลดความเสี่ยงของการก่อตัวของนิ่วในถุงน้ำดี

5. ตับแข็ง โดยทั่วไปกาแฟใช้แก้อาการเมาค้างและงัวเงียในตอนเช้า แต่มีประโยชน์มากกว่าหากดื่มก่อนเริ่มงานเลี้ยง

6. นิ่วในไต การบริโภคกาแฟลดอัตราความเสี่ยงการเกิดนิ่วในไต กาแฟเพิ่มปริมาณปัสสาวะและป้องกันการตกผลึกของแคลเซียมออกซาเลตที่เป็นส่วนประกอบทั่วไปของนิ่วในไต

7. ปรับปรุงสมรรถนะทางความคิด กาเฟอีนในกาแฟช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง ปรับปรุงสมาธิ เวลาตอบสนอง และลดความเหนื่อยล้า

8. โรคอัลไซเมอร์ การดื่มกาแฟช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ จากการศึกษาในหนูทดลองแสดงให้เห็นว่ากาเฟอีนในกาแฟ 2 ถ้วยต่อวัน สามารถลดการก่อตัวของพลักซ์ที่เป็นอันตรายต่อสมอง

9. หอบหืด มีการค้นพบว่ากาแฟ 3 ถ้วยหรือมากกว่านั้นในแต่ละวัน ฃ่วยลดการแพร่กระจายของหอบหืด และช่วยปรับปรุงระบบการทำงานระบายอากาศระหว่างการออกกำลังกายโดยผ่านการบีบตัวของหลอดลม

10. กาเฟอีนปลอดภัย พ.ศ. 2501 องค์การอาหารและยายอมรับว่า กาเฟอีนเป็นสารที่ปลอดภัย (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 94-97)

ข้อเสียของกาแฟ

1. โรคหัวใจ กาแฟที่ไม่ได้กรองสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะ.ไปเพิ่มปริมาณการเกิดของพลาสมา โฮโมคริสอีนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

2. โคเลสเตอรอล การบริโภคกาแฟต้มเพิ่มระดับเลือดและโคเลสเตอรอลแอลดีแอล (ไขมันที่ไม่ดี)

3. หลอดเลือด กาแฟมีผลกระทบเชิงลบต่อหลอดเลือดและการปฏิบัติหน้าที่ของหลอดเลือด

4. รบกวนจังหวะการเต้นของหัวใจทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ

5. ความดันโลหิต การวิจัยพบว่ากาแฟสามารถเพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อยของพัฒนาการความดันโลหิตสูงต่อเนื่องในผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง

6. กระดูกพรุน การดื่มกาแฟนำไปสู่การขับแคลเซียมในปัสสาวะ การบริโภคกาแฟรสเข้มเพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ได้รับปริมาณแคลเซียมต่ำ

7. อาการเสียดท้อง กาแฟ 1 ถ้วย สามารถกระตุ้นอาการเสียดท้อง เนื่องจากาแฟประกอบด้วยกรดหลายชนิด

8. การนอนหลับ กาเฟอีนในปริมาณสูงถ้าบริโภคก่อนนอนทำให้นอนหลับยากขึ้น และอาจตื่นเร็วกว่าปกติหากมีเสียงรบกวน ทำให้การนอนหลับแย่ลง แต่ก็มีบุคคลบางส่วนที่สามารถดื่มกาแฟแล้วนอนหลับได้ทันที

9. การสูญเสียน้ำ กาเฟอีนในกาแฟเป็นยาขับปัสสาวะอ่อนๆ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ

10. การเลิก การเลิกดื่มกาแฟในทันทีอาจทำให้รู้สึกปวดศีรษะและระคายเคือง 2 – 3 วันแรกๆ แต่อย่างไรก็ตามการหยุดดื่มกาแฟทันทีเป็นเรื่องง่ายเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้เสพติดสารกาเฟอีน (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 98-99)

กาเฟอีนและสุขภาพของผู้หญิง

ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ควรกังวลเกี่ยวกับการรับสารกาเฟอีน เนื่องจากการศึกษาพบว่าการแท้งบุตรในธรรมชาติมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น และความไม่สมบูรณ์ของทารก นอกจากนี้โรคก้อนเต้านมไฟโบรคริสติกมีอาการรุนแรงขึ้นเนื่องจากการรับสารกาเฟอีน กาแฟเป็นตัวขับแคลเซียมดังนั้นผู้หญิงจึงเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 104)

กาเฟอีนและสุขภาพของผู้ชาย

กาแฟเป็นสารระคายเคืองทางเดินปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ และกาแฟยังเป็นยาขับปัสสาวะที่ทำให้สภาวะที่เกี่ยวข้องกับการปัสสาวะแย่ลง การจำกัดกาแฟและกาเฟอีนบรรเทาอาการที่สัมพันธ์กับการปัสสาวะบ่อยเนื่องจากต่อมลูกหมากขยายใหญ่ขึ้น (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 105)

ผลกระทบเชิงลบของกาแฟ

1. กาแฟมีกาเฟอีน จึงมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย

2. กาเฟอีนทำให้ท้องผูก เนื่องจากกาแฟเป็นตัวขับปัสสาวะจึงอาจทำให้เกิดการสูญเสียน้ำ ขาดของเหลวในร่างกายจนก่อให้เกิดอาการท้องผูก

3. การดื่มกาแฟเป็นเวลานานทำให้ฟันสกปรก กาแฟมีผลกระทบต่อฟันคล้ายสารนิโคติน ดังนั้นจึงอาจส่งผลทำให้ฟันเหลือง และฟันผุ โดยเฉพาะเมื่อเติมน้ำตาลปริมาณมากลงไปในเครื่องดื่ม

4. กาเฟอีน น้ำมัน และกรดในกาแฟ ระคายเคืองเยื่อบุในกระเพาะอาหาร กาแฟทำให้กระเพาะอาหารผลิตกรดไฮโดรคลอริกมากเกินไปซึ่งนำไปสู่การย่อยอาหารที่มีสมรรถภาพลดลง กาแฟไร้กาเฟอีนบรรจุน้ำมันและกรดเหมือนกาแฟปกติส่งผลต่อการคัดหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้เมื่อดื่มกาแฟตอนท้องว่างยังเป็นการเพิ่มกรดในกระเพาะอาหารทำให้เจ็บปวดแผลในกระเพาะได้ทันที(สำหรับบางคน)

5. กาแฟส่งผลต่อการลดกล้ามเนื้อท่ออาหารที่หดปิดได้ กล้ามเนื้อที่ควบคุมการเปิดปิดระหว่างกระเพาะอาหารและลำคอ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความดันของกล้ามเนื้อท่ออาหารที่หดปิดได้ การไหลกลับของกรดในอาหารจะย้อนขึ้นมาสู่ลำคอ เป็นสาเหตุของอาการจุกเสียด

6. กาแฟชะลอการส่งของเสียผ่านลำไส้เล็ก กาแฟเลวร้ายกว่าสารนิโคตินและแอลกอฮอล์ มันทำให้เสียดท้อง มีแก๊สในกระเพาะอาหารมากเกินไป และส่งผลเสียต่อระบบการย่อย การดื่มกาแฟเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นแผลในกระเพาะอาหารสูงถึงร้อยละ 72 (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 109-112)

ผลข้างเคียงของกาเฟอีน

1. ผู้หญิงที่ได้รับปริมาณกาเฟอีนมีแนวโน้มสูญเสียแคลเซียมในปัสสาวะมากกว่า จึงส่งผลต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ทางแก้ไขคือดื่มวันละ 1 แก้วเพื่อชดเชยแคลเซียมที่เสียไป

2. กาเฟอีนทำให้อาการเจ็บปวดเต้านมก่อนมีประจำเดือนรุนแรงขึ้น และรบกวนการนอนหลับ

3. ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟมากกว่า 4 ถ้วยต่อวัน มีความเสี่ยวของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เกือบ 2 เท่า

4. การเลิกดื่มกาแฟอาจทำให้ปวดศีรษะ และมีอาการสั่นของร่างกายที่ไม่พึงประสงค์

5. กาแฟบรรจุสารก่อมะเร็งมากมาย

6. กาแฟเร่งสูบฉีดฮอร์โมนความเครียดทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น เกิดอาการตื่นตระหนก

7. กาแฟเป็นยาขับปัสสาวะ อาจส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำ

8. กาเฟอีนขัดขวางเคมีที่ปรากฏตามธรรมชาติในส่วนของต่อมอดีโนไซต์และส่งผลต่อสมอง (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 112-113)

ผลกระทบระยะสั้นของกาเฟอีนในร่างกาย

เพิ่มการเต้นของหัวใจ การหายใจ อัตราการสันดาปพื้นฐาน ปฏิกิริยาสะท้อนกลับของภาวะกระเพาะลำไส้อักเสบ การผลิตกรดกระเพาะอาหารและปัสสาวะยังมีปฏิกิริยาต่อกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหลอดลม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ขึ้นอยู่กับบุคคล ความรู้สึกไว การสันดาป หรือการบริโภคจนชินเป็นนิสัย

บางคนเชื่อว่ากาเฟอีนทำให้ตื่นตัวลดอาการอ่อนเพลีย อย่างไรก็ตามกาเฟอีนอาจฟื้นฟูความรู้สึกก่อนที่จะรู้สึกอ่อนเพลียหรือเบื่อหน่าย จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่ากาเฟอีนลดเวลาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นทั้งทางสายตาและการฟัง เมื่อรับกาเฟอีนในปริมาณสูงเกินไปอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงปรารถนา

ผลกระทบระยะยาวของกาเฟอีนในร่างกาย

กาเฟอีนดูดซึมอย่างรวดเร็วผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 – 45 นาที เพื่อบรรลุระดับสูงสุด ระดับกาเฟอีนในเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเป็นปัจจัยกำหนดการออกฤทธิ์ในร่างกาย โดยปกติระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นสูงสุดภายใน 30 – 60 นาที กาเฟอีนถูกสันดาปผ่านตับขับออกทางปัสสาวะ มันสามารถซ่อนเร้นในน้ำลาย น้ำนมในเต้า และน้ำอสุจิ

กาเฟอีนมีผลต่อร่างกายเมื่อคงอยู่ในกระแสเลือด เวลาที่ต้องการเพื่อขจัดปริมาณของกาเฟอีนครึ่งหนึ่งที่บริโภค ปัจจัยที่ทำให้ครึ่งชีวิตของกาแฟยาวนานขึ้น รวมถึงยาบางชนิด โรคตับ การตั้งครรภ์ ระดับเอนไซม์ในตับที่จำเป็นสำหรับการสันดาปกาเฟอีน (ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว.2537: 114)

ตะไคร้ ขับปัสสาวะ ขยายหลอดลม หายใจได้คล่องขึ้น

เกษตรกรขายเองโดยตรง

จำหน่ายตะไคร้สด กิโลละ 20 บาท

จำหน่ายผลมะม่วงหาวมะนาวโห กิโลละ20 บาท

มารับได้ที่ ร้าน แถวแฟลตดินแดง หลังแฟลต 12  ใกล้กับโบสถ์แม่พระ  กรุงเทพ  หรือจะมารับที่ นครปฐม  บ้านอยู่ติดกับโรงเรียนบ้านหนองงูเหลือม  วิ่งมากม12  ถนนมาลัยแมน   อ.เมือง จ.นครปฐม (ประกาศ  1 เดือนกรกฎาคม 2561)

img_5255 img_5325

ด้วยธุรกิจที่บ้านดั้งเดิม  คือ  ปลูกอ้อย   กระชาย และตะไคร้

แต่ราคา ขาย นี่ซิ    ขายแทบจะไม่ได้ค่าความคุ้มค่าเลย    ตะไคร้  โลละ ไม่ถึง20บาท    ไถ แปลง   เดินสปริงเกอร์    สูบน้ำ รด   กว่า 3 เดือน   ถอน  ล้างน้ำ    ตัดใบเหี่ยว   มัด และกำ

เอามาทำ ตะไคร้อบแห้ง   ตาก บด เพื่อจะได้เก็บได้นาน  และเพิ่มมูลค่า

สุดยอด  ทำชาชง   ช่วย ขับปัสสาวะ   และหายใจคล่องขึ้น   ไล่ยุง  อีก   สรรพคุณแบบกระจาย

ได้ทดลองทำตัวอย่างมา  200 ซอง   ท่านใดสนใจ   แจกฟรี ไปเลย   5555

takaiimg_4587

ขั้นตอนการทำตะไคร้บดอบแห้ง

1.เดินไปเอาตะไคร้ในสวนที่ปลูกเลย  ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลง

img_4671

2.ล้างน้ำ  แล้ว เอาซอย สั่นๆก่อน

img_4666 img_4667  img_4672

3.นำขึ้น โรงตาก  การตากแบบนี้ เพื่อ ให้แห้งก่อนจะนำมาบด

img_4674

4. ผ่านไป 3 วัน   ตะไคร้ เริ่มแห้ง  กลิ่นแทงออกมาแบบรุนแรง

img_4422

5. นำมาบดละเอียด  แล้วพักไว้  บรรจุ ลงถุงสูญญากาศ

img_4423 img_4306

ขมิ้นชัน แก้มะเร็ง กรดไหลย้อน

วันนี้   เจอกับเรื่องราว ของโรคที่เข้ามาแบบ ใกล้ชิด  เหมือนกับ  การต้องอ่านหนังสือ เมื่อจะสอบวันพรุ่งนี้   แต่นี้ ชีวิตจริง

ทุ่มเท  สะอาด   เพราะ โรคเหล่านี้ เกิดขึ้น ได้

–           ไม่ได้ทำเพื่อใคร   ที่ทำ เพื่อตัวเอง  (เห็นแก่ตัว  เปล่านะ  ก็ลงทุนเอง ทำเอง  กินเอง และจะแบ่งปันให้)

–  จะหาทาน ขมิ้นชัน  เป็นประจำ   ทำอย่างไร     เขาว่า เวลาทานต้องทานเวลาเดิม ด้วย   ทุกวัน  วันละครั้ง

เอามาหมักกับปลา  ไก่  แล้วทอด   หอม จริงๆ  ทำให้ ทานอาหารได้มากขึ้น   อยากอาหาร

เพียงแค่ดม ก็ รู้สึกสบายหัว  เพราะช่วย กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

รู้สึกดี ทานแล้ว ร่างกาย มันรู้สึกได้

ลองหาซื้อทานดูนะครับ    สมุนไพร ใกล้ตัว ดีกว่าขนม หลอกลวง   ซองละ 20 บาท  มีแต่น้ำตาลกับแป้ง

turmeric2-e1439292080314img_0701

 

ช่วยเหลือเขา เราก็สุขใจ ขมิ้นชัน

ด้วย สินค้า ทางเกษตร   เมื่อเก็บผลผลิต แล้ว  มีความจำเป็นต้องขายในทันที่     บางครั้งปลูกนานเกิน จนต้องถึงเวลาเก็บ  เพราะดึงเวลานานกว่านี้คงไม่ไหว

ทาง coffee4skin  ได้รับการติดต่อจากชาวบ้าน  แถวแม่สอด  จ.ตาก  ช่วยรับซื้อ ขมิ้นชัน   ปลูกมา เกือบ 2 ปี
1.เพื่อช่วยเหลือ  เกษตกร โดยตรง   ให้มีรายได้    รับซื้อมาทดลอง  1 ตัน  ในราคา  โลละ 20 บาท    เป็นเงิน 20000 บาท  ไม่รวมค่าขนส่ง  ( 4000 บาท)

ขับมากว่า 6 ชั่วโมง    มาถึงแล้ว    ขมิ้นชัน

img_3359

img_3355

*************************************************************************************************************

img_3411

img_3412

 

ช่วยกัน ล้างน้ำ  ถูขัดดินออก ครั้งที่ 2

นำขึ้นตากบนรถอบ ถ้าปล่อยให้กองทับกันนาน ๆ  จะขึ้นรา หรือเน่าเสีย

img_3400 img_3401

ช่วงนี้  น้ำหนัก ขมิ้น ก็หายไป จาก 1kg  เหลือ  0.8  kg เนื่องจาก ดิน สิ่งปนเปื้อน และน้ำ

2.หลังจากนั่น มาทำ หั่นเป็น  แว่น ๆ

img_3536

img_3416 img_3418

แล้วขึ้น โรงอบอีกครั้่งหนึ่ง

3. นำขมิ้น มาบด หยาบ อีกครั้ง

img_4304

แล้วตากในโรงอบ

4.นำมาบรรจุถุงสูญญากาศ

img_0700 img_0701 img_0903 img_4306

ได้    ผงขมิ้นชัน อบแห้ง 100 %

เพื่อเป็นการแนะนำสินค้า  และ ช่วยเหลือ เกษตรกร  ทาง coffee4skin  ยินดี แจกตัวอย่างทดลอง  ฟรี  ให้กับลูกค้า

ผงขมิ้นชันอบแห้ง ขนาด  100 กรัม     เพียงชำระค่าส่ง  35  บาท        แจ้งมาที่เบอร์ 0818124004   Line ID : @coffee4skin

 

ถึง  พฤษภาคม   จนกว่า สินค้าจะหมด   แถม ตะไคร้ อบแห้ง ขนาด 50 กรัม   ด้วย

img_4423 img_4587 img_4422

ตะไคร้  ชาวบ้านปลูกขาย กิโลละ 9 บาท  กว่าจะตัดจะล้างจะขุดได้   ได้กิโลละ 9 บาท  ไม่เก็บก็เหี่ยวแห้ง  เปลืองน้ำ   เลยรับซื้อมา เพื่อช่วยเหลือ   มาอบแห้ง ดู  ได้ผลิตภัณฑ์ ตะไคร์สวน  อบแห้ง หอม แทงตาเลย    เอามาแจกฟรี ด้วย